ตลท.คาดปี 67 เงินทุนย้ายเข้าหุ้นไทย สะท้อนบาทแข็ง-ศก.ขยายตัว

โบรกฯ คาดตลาดหุ้นไทยไซด์เวย์ เม็ดเงินลงทุนยังไม่ไหลเข้า แนะ 7 หุ้นเด่น

เริ่มต้นปี 2567 ตลาดหุ้นไทยยังคงไม่ไปไหน ล่าสุดดัชนี SET Index ปิดตลาดวันที่ 18 ม.ค.67 อยู่ที่ระดับ 1,377.93 จุด ลดลง 2.68 จุด หรือ -2.66% นับตั้งแต่สิ้นปี 66และดัชนี SET Index อยู่ในโซนใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

โดยนักลงทุนที่เทขายหุ้นไทยยังคงเป็นฝั่งชาวต่างชาติ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 67 ต่างชาติขายสุทธิแล้ว 16,030 ล้านบาท รองลงมาเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ ขายสุทธิ 2,759 ล้านบาท ขณะที่ฝั่งผู้ซื้อเป็นนักลงทุนในประเทศ ซื้อ สุทธิ 17,622 ล้านบาท และบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,168 ล้านบาท

ปัจจัยลบกดดันตลาดเอเชียฉุดหุ้นไทยดิ่งเหวคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

 หุ้นไทยเปิดปีมังกรทอง ไปต่อไม่ไหว หลุด 1,400 อีกครั้ง ท่ามกลางปัจจัยลบในเอเชีย

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับทีมข่าว “พีพีทีวี” ถึงดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับลดลงในช่วงนี้ ว่า ปัจจัยหลักมาจากตลาดเอเชียไม่ดี โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลง เพราะตัวเลขเศรษฐกิจจีดีพีไตรมาส 4 ปี 66 เติบโตเหลือ 5.2% ต่ำกว่าตลาดคาดว่าจะเติบโต 5.3% ยอดค้าปลีกอยู่ที่ 7% ต่ำกว่าตลาดคาดไว้กว่า 8% ซึ่งสะท้อนว่าการบริโภคจีนมีปัญหา

ขณะเดียวกัน จีนยังเผชิญปัญหาวิกฤตในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และธนาคารเงา (shadow banking) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจาก shadow banking นำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เยอะ แล้วชำระหนี้ไม่ได้ จึงเป็นปัญหาที่แก้ยากสำหรับเศรษฐกิจจีน

ส่วนตลาดหุ้นเกาหลี ปรับลดลงกว่า 2% เป็นผลมาจากเกาหลีเหนือประกาศจะแก้รัฐธรรมนูญ ให้เกาหลีใต้เป็นคู่ขัดแย้งเบอร์ 1 ขณะที่ปัญหาตะวันออกกลางก็มีเช่นเดียวกัน และไต้หวันก็เพิ่งผ่านการเลือกตั้ง พรรคหมินจิ้นตั่ง (DPP) ชนะ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดของสหรัฐฯ จึงเกิดความกลัวว่าไต้หวันจะเป็นตัวแทนให้สหรัฐฯกระทบกระทั่งกับจีนมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีเรื่องคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้ จึงเกิดการขายหุ้นในตลาดเอเชีย

ตลาดหุ้นไทย PE ถูก ดัชนีอาจร่วงไม่ลึก ลุ้นเม็ดเงินไหลเข้ารับปันผลกลุ่มแบงก์

ตลาดหุ้นไทยปีนี้ปรับลดลงมาเยอะ และเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุด (worst performer) ของเอเชีย โดยปีนี้ 67 PE (Price to Earnings Ratio) อยู่ที่เกือบ 14 เท่า ถูกลงมาจากปี 66 ที่ 16-17 เท่า และส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนของตลาดหุ้นเทียบกับอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Earning yield gap) อยู่ประมาณ 4.5%

อย่างไรก็ตาม จีดีพีไทย (GDP) ปี 67 คาดการณ์ว่าจะเติบโตอย่างต่ำที่ระดับ 3% ดีขึ้นจากปี 66 ที่ 2% และกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 67 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 8-15% ดีกว่าปี 66 ที่ติดลบ ดังนั้นด้วยปัจจัยดังกล่าว ประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ 67 ไม่น่าจะปรับลดลงไม่ลึกมาก โดยคาดการณ์กรอบอยู่ที่ 1,350-1,450 จุด

ขณะที่ช่วงนี้เป็นช่วงประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่จ่ายปันผลดี จึงน่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาคาดว่าในช่วงเดือน มี.ค. – เม.ย. 67 เพราะเป็นช่วงที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์จ่ายปันผล จึงน่าจะทำให้มีแรงหนุนช่วยประคับประคองตลาดหุ้นไทย และหลังจากนั้นตั้งแต่เดือน เม.ย. 67 นักลงทุนก็จะหันมาจับตาการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะ Out perform ตลาดหุ้นทั่วโลกได้

เปิดโผ 6 กลุ่มหุ้นเด่น น่าลงทุนในปี 67

นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่แย่ในปีที่ 66 น่าจะฟื้นตัวกลับมาในปี 67 ได้แก่

– หุ้นกลุ่มค้าปลีก ปี 66 ราคาปรับลงมา เนื่องจากต้นทุนสูง โดยเฉพาะค่าไฟ เฉลี่ยที่ 4.80 บาท/หน่วย ปี 67 ถ้าควบคุมให้อยู่ใกล้เคียง 4 บาท ค่าไฟก็จะลดลงมาประมาณ 17% จะทำให้กำไรกลุ่มค้าปลีกปีนี้ดีขึ้น

– หุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หากรัฐบาลไม่สามารถเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ มองว่าโครงสร้างพื้นฐานน่าจะเร่งลงทุนมากขึ้น ขณะที่กลุ่มวัสดุก่อสร้าง พวกต้นทุนก๊าซธรรมชาติก็ปรับลดลงด้วย

– หุ้นกลุ่มสื่อสารและกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้ดอกเบี้ยได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว ซึ่งถ้าดอกเบี้ยปรับลดลงก็จะส่งผลบวกให้กับกลุ่มนี้ โดยประเมินคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี 67 ซึ่งถ้ามีสัญญาณว่าดอกเบี้ยจะปรับลดลงเมื่อไหร่ หุ้น 2 กลุ่มนี้ก็จะฟื้นตัวได้ดี (perform)

– หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์ ช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากการแก้หนี้ครัวเรือน ซึ่งคิดว่าหลังจากนี้เมื่อมีมาตรการออกมาชัดเจนว่าทางไฟแนนซ์จะต้องช่วยเหลือลูกหนี้อย่างไรบ้าง ประกอบกับมีมาตรการกระตุ้นบริโภคดูแลภาคการเกษตร ากภาครัฐเข้ามา อาจทำให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ดีขึ้น และการตั้งสำรอง (ECL) ของกลุ่มไฟแนนซ์ก็จะลดลง

ไฟแนนซ์ถูกกระทบจากบอนด์ยีลด์ที่ขึ้นเยอะ เพราะเขาระดมเงินจากเงินฝากไม่ได้ เขาต้องออกหุ้นกู้ ซึ่งตอนนี้ตลาดหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูงมาก แต่ถ้าเกิดว่าบอนด์ยีลด์มันผ่านจุดพีกไปแล้ว และกำลังจะลงเทรนด์ดอกเบี้ยหุ้นกู้ก็ลดลง ต้นทุนก็ลดลงนายณัฐพล กล่าว

จับตาหุ้นกู้เอกชนแห่ โรลโอเวอร์ ช่วง Q1/67

นายณัฐพล ระบุอีกว่า การผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนส่วนใหญ่เป็นปัจจัยเฉพาะตัว เช่น บมจ.ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเมนท์ (ALL) บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) และ บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น ซึ่งมีปัญหาสภาพคล่องอยู่แล้ว ทำให้ความเชื่อมั่นหายไป

ล่าสุด บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ที่ขอยืดเวลาชำระหนี้ออกไป บ่งชี้ว่า ITD มั่นใจว่าจะสามารถแก้ปัญหาการเงิน และจัดการสภาพคล่องให้กลับมาได้ ก็เชื่อว่าน่าจะทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่นมากขึ้น

อย่างไรก็ตามต้องติดตามการโรลโอเวอร์ (Rollover) ของหุ้นกู้ที่จะมีมากขึ้นในช่วงไตรมาส 1 ปี 67 คิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีนี้ราว 1 ล้านล้านบาท หลังจากนั้นการโรลโอเวอร์ก็จะลดลง และสถานการณ์ก็จะกลับดีขึ้น

จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าหุ้นกู้ที่ขายไม่หมดมีสัดส่วน 2% ของทั้งระบบ และเป็นหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง (High Yield) ประมาณ 8% ถือว่าไม่เยอะมาก

ตอนนี้เป็นเรื่องของการพยายามสร้างความเชื่อมั่น หลายบริษัทก็ประกาศว่าสามารถชำระคืนหนี้ได้ เช่น บจก.แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) และ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ตรงนี้ก็คงจะพอช่วยได้ และสุดท้ายเราคิดว่าทางแบงก์ชาติเองก็มอนิเตอร์จับตาดูอยู่ ถ้ามีความเสี่ยงเกิดขึ้นเขาพร้อมจะใช้มาตรการเดิม ไม่ว่าจะเป็นกองทุน BSF ที่เข้ามาผยุงหุ้นกู้ที่มีเรตติ้งดี หรือซอฟต์โลนให้คนที่ไม่มีเรตติ้งขายหุ้นกู้ไม่ได้ ก็มากู้ซอฟต์โลนผ่านแบงก์ ตรงนี้ก็น่าจะพอช่วยได้ คงไม่มีปัญหา นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า กล่าว

ออปต้า ทำนายผลแข่ง ทีมชาติไทย พบ โอมาน นัดสอง ศึกเอเชียน คัพ 2023

โปรแกรมฟุตบอลเอเชียน คัพ 2023 รอบแรก นัดสอง 19 ม.ค.67

วันหยุดกุมภาพันธ์ 2567 เช็กวันหยุดราชการ-วันสำคัญ ตรงกับวันไหนบ้าง

By admin